หน้าแรก » Car Sshow | Racing Show » MITSUBISHI » มาด EVO VI ดีไซน์หน้าใหม่ ... |
2-กรกฎาคม | 7860 |
|
เป็นกฎกติกาตายตัวไปแล้วสำหรับคนเล่นมิตซูบิชิ ที่ต้องการจะตกแต่งรถของตนเองไม่ว่าจะเป็นแลนเซอร์ อีคาร์ ที่ต่างก็ปรับโฉมมาให้เหมือนกับ EVO I- EVO II แต่ถ้าเป็นตัว ท้ายเบนซ์ก็จะขยับมาแปลงให้เป็น EVO V หรือไม่ก็ EVO VI เช่นเดียวกับตัว CK4 ที่เวลานี้ก็เปลี่ยนใจมาอยู่ในคราบ EVO VI พร้อมกับผสมผสานงานดีไซน์ด้วยตนเอง ทำให้ดูแตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด สำหรับกันชนหน้าแทนที่จะใช้ของ EVO VI ก็หันมาดีไซน์ด้วยตนเอง โดยได้ออกแบบช่องดักลมตรงกลางเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ซึ่งกว้างกว่าของ EVO VI และเจาะเป็นช่องด้านข้างเพื่อฝังไฟสปอร์ไลท์กลมอีก 2 ดวง พร้อมกันนี้ตัวกันชนยังเป็นแบบลิ้นหน้าในตัว ควบคู่กับกระจังหน้าในตัวที่ดูแตกต่างไปเหมือนใคร เพราะที่กระจังหน้าจะมีความเฉียงและมีการหยักที่ส่วนบนของกระจังเพื่อให้รับกับฝากระโปรงหน้า ซึ่งก็หยักคล้ายกับสายฟ้า ในขณะเดียวปลายฝากระโปรงก็ยังทำเป็นคิ้วปิดไฟหน้าด้วยทำให้ดูเฉี่ยวขึ้น นอกจากนี้ที่ฝากระโปรงหน้าได้ออกแบบให้มีรูปทรงของช่องระบายความร้อนจากเครื่องยนต์เหมือนกันฝากระโปรงของ EVO VI แต่ต่างกันตรงที่ฝากระโปรงหน้านี้ทำมาจากไฟเบอร์กลาสให้น้ำหนักเบา และที่ช่องระบายความร้อนก็ได้ทำให้ลึกกว่าของอีโว เพื่อต้องการให้ระบายความร้อนได้เร็วขึ้น แต่ทางด้านข้างโปร่งล้อแน่นอนว่าต้องหยิบของ EVO VI มาแนบไว้ ซึ่งจะได้คุมฐานล้อที่กว้างขึ้นได้พอดี
ถัดมาดูที่กระจกส่องข้างกับกระจกรอบคัน หรือแม้แต่ประตูหน้า-หลังก็ต้องใช้ของแท้ EVO VI โดยที่ประตูจะมีขอบสันเป็นเส้น และที่ขอบล้อหลังยังได้เสริมขอบยื่นออกมาเพื่อเป็นที่ยึดของโปร่งหลัง ซึ่งจะต้องเชื่อมรับกับกันชนหลังได้อย่างพอดี โดยที่ล้อแม็กนั้นเป็นของ EVO VII ที่มีลายก้านแบบตัว Y มีขนาดขอบ 17 นิ้วกว้าง 8 นิ้วและรัดด้วยยาง BRIDSTON POTENZA RE01 ขนาด 235/45ZR17 และเมื่อผ่านมาถึงกันชนหลังทรงอวบใหญ่ไม่ไกลกันจะเห็นฝากระโปรงหลังและไฟท้ายที่ไปจับเอาของ F-STYLE ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายของท้ายเบนซ์ และออกมาขายไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนเป็นซีเดีย ซึ่งที่ตัวไฟท้ายจะมีการหักมุมพร้อมกับไฟถอยหลังแบบตาเพชรขาวอมชมพู คู่กับไฟเลี้ยวเหลืองคาดเส้นแดง ส่วนหางหลังนั้นจะเป็นทรงสูงในแบบ EVO VI ที่มีทั้งปีกล่างและปีกบน โดยตัวปีกล่างจะเป็นทรงสามเหลี่ยมมีไฟเบรคดวงที่สามฝังอยู่ แต่สำหรับปีกบนนั้นสามารถปรับระดับได้ ซึ่งจะช่วยตอบสนองในเรื่องของการกดอากาศให้เวลาที่ใช้ความเร็วสูง และที่กระจกหลังยังเป็นแบบไล่ฝ้าและมีสัญญาณวิทยุ รวมไปถึงมีที่ปัดน้ำฝนมาให้เสร็จสรรพ ตลอดจนยังได้ติดสติกเกอร์จากญี่ปุ่นที่เป็นการการันตีเกี่ยวกับมลภาวะเป็นพิษ ซึ่งได้ติดทั้งแบบ 3 ดาวและ 4 ดาว แถมด้วยสติกเกอร์จอดรถ ที่เวลานี้หายากและกำลังนิยมติดกันอยู่ เช่นเดียวกับปลายท่อที่เป็นของแต่งคู่บารมีจาก RALLIART มาที่ระบบของเครื่องยนต์ ซึ่งจัดเป็นส่วนสำคัญสำหรับการแปลงให้เป็น EVO VI โดยเครื่องเดิมรหัส 4G92 ขนาด 1600 ซีซี มีแรงม้า 113 ตัว แต่เมื่อต้องการให้แรงเหมือนกับตัวอีโวก็เลยต้องดึงเอาเครื่องรหัส 4G63T ในแบบมีเทอร์โบมาด้วย โดยเป็นเครื่องขนาด 1997 ซีซี. DOHC 16 VALVE ละสามารถให้กำลังม้าออกมาได้มากถึง 280 ตัวที่ 6,500 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดก็ให้มาเต็มพิกัด 36 กก.-ม.ที่ 3,000 รอบ/นาที และที่สำคัญได้ขยับเกียร์มาเป็นของ EVO VII ซึ่งสามารถตอบสนองให้ตีนปลายไหลขึ้นในขณะที่ใช้รอบเครื่องต่ำกว่า และเพื่อให้มีสมรรถนะดีขึ้นไปอีกได้เปลี่ยนเทอร์โบมาใช้ของ EVO VII ด้วยเพื่อเน้นแรงบิดที่มากขึ้น 40 กก.-ม.ที่ 3,000 รอบ/นาที และกรองอากาศก็เปลี่ยนมาเป็นของ HKS พร้อมกับหัวเทียนที่เป็น HKS เบอร์ 7 แถมด้วยสายหัวเทียนแต่งจากญี่ปุ่น ในส่วนของระบบขับเคลื่อนนั้นก็ไม่เว้นได้เปลี่ยนจากขับสองมาเป็นขับสี่แบบฟูลไทม์แบบเดียวกับอีโว 6 ที่สามารถให้การทรงตัวและเกาะถนนได้ดีเยี่ยม เพราะช่วงล่างก็ได้ยกทั้งแพหน้า-หลังมาครบเซ็ทโดยแพหน้าจะมีปีกนกเป็นอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา และโช้คก็ได้เปลี่ยนมาเป็นของ GAB รุ่น SUPER R ที่สามารถปรับแข็ง-อ่อนได้ 4 ระดับ ส่วนเบรคหน้าที่ติดมาด้วยนั้นเป็นของยี่ห้อ BREMBO ที่มีคาลิเปอร์ข้างละ 4 พอร์ท สำหรับทางด้านหลังนั้นก็ยกมาทั้งแพหลังจึงติดชุดเบรคหลังแบมโบแบบข้างละ 2 พอร์ทมาด้วย แต่ในการนี้ก็จำเป็นต้องเลาะพื้นตั้งแต่ช่วงเบาะหลังไปจนถึงครึ่งของยางอะไหล่ และถึงยกพื้นส่วนหลังของอีโว 6 มาทำการอาร์คติดแทนที่ เพราะพื้นดังกล่าวจะมีตัวหิ้วเพลาท้ายติดมาให้ด้วย
ภายในห้องโดยสารนั้นแทบจะปรับเปลี่ยนทุกชิ้นให้เป็น EVO VI ไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้าที่เดิมเป็นสีเทาก็กลายมาเป็นสีดำ พร้อมกับแผงหน้าปัดที่เปลี่ยนมาใช้ของ RALLIART ที่มีมาตรวัดความเร็วถึง 230 กม./ชม. ส่วนเกจ์วัดที่ฝังในพิลลาร์นั้นเป็นเกจ์วัดบูสท์ของ SARD กับเกจ์วัดแรงดันเบนซินของ AUTO GAUGE แถมยังติดชิพไลท์แบบไฟเหลืองของ AUTOMETER ซึ่งได้ตั้งไว้ที่ 6,200 รอบ/นาที และที่หายากอีกอย่างเป็นเกจ์วัดสามตัวของ RALLIART ที่สามารถวัดโวล์ต ,วัดแรงดันน้ำมันเครื่องและวัดบูสท์ สำหรับพวงมาลัยทรงสปอร์ตนั้นเป็นของ MOMO ที่มีแอร์แบคมาให้ด้วย ตามมาด้วยแผงข้างประตูทั้ง 4 บาน ก็เปลี่ยนใหม่ด้วย ยกเว้นเบาะนั่งที่ไม่ยอมใช้ของ EVO VI แต่ก็ใช้ของยี่ห้อ RECARO เช่นกัน เพียงต่างรุ่นกัน ซี่งเบาะหน้าจะเป็นรุ่น TOMCAT ในแบบตาข่ายเหลือง ที่นอกจากเท่บาดตาแล้วตัวเบาะยังมีสายปั๊มลมสามารถปรับบริเวณพนักพิงให้นูนขึ้นมาได้เพื่อรอบรับกระดูกสันหลัง ทำให้เวลาขับรถทางไกลแล้วไม่เมื่อย ตลอดจนเบาะนั่งที่ส่วนปลายของเบาะสามารถเลื่อนออกได้เพื่อให้รองบริเวณด้านหลังของต้นขาได้พอดี กว่าจะทำให้CK4 เปลี่ยนไปตามที่อวดสายตาอยู่นี้ คงต้องยอมควักกระเป๋าจ่ายไม่ใช่น้อยไม่ว่าจะเป็นเครื่อง เกียร์ แพหน้า-หลัง และเฟืองท้าย รวมราคาก็ตกประมาณ 250,000 บาทเข้าไปแล้วและนี่ยังไม่รวมชุดเบรคหน้า-หลังอีกประมาณ 50,000 บาท ตลอดจนค่าชิ้นส่วนบอดี้ภายนอกและภายในอีกด้วย |
เรื่องอื่นๆ ในหมวด |
Benz S-Class W140 แต่งสวยหรู แต่งได้กระชากใจ
|
Mersedes Benz E220 cdi ปี 2003 Mersedes Benz E220 cdi ปี 2003 ชุดแต่งคาร์บอนรอบคัน E63 AMG BLACK body kit.. |
Honda CR-Z ชุดแต่งรอบคัน.. |
Thailand super series at bangsaen street circuit Thailand super series ที่สุดของความเร้าใจระดับโลก 21 มิ.ย. - 2 ก.ค. 60 บางแสน สตรีทเซอร์กิต จังหวัดชลบุรี.. |
Mercedes-Benz S-class W140 Long Lorinser Exclusive Body Kit "ต้องการชุดแต่ง กรุณาปรึกษาเรา ด่วน...รับแปลง-แต่ง Mercedes-Benz S-class W140 Long Lorinser Exclusive Body Kit .. |
ทั้งหมด -»» |
|
แสดงผลได้กับ IE9+/Firefox/Chrome 1440*900 resolutions. ©2013 carshowsociety.com Web Creative Design by Qisza.com |
789/4 ซ.ลาดพร้าว 48 แยก 8 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320 มือถือ : 08-4659-4999 |