นับจากการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในการขับเคลื่อนให้กับตลาดรถ สปอร์ตตั้งแต่รุ่น 288GTO ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 นั้น เฟอร์รารี่ยังมีผลผลิตที่ถือว่าเป็น Top of the line ออกมาเขย่าตลาดอย่างต่อเนื่อง และในตอนนี้ ผลผลิตใหม่ได้ถูกเปิดตัวออกมาแล้วกับชื่อ LaFerrari ซึ่งจะเป็นตัวตายตัวแทนของเอ็นโซ่ ซึ่งเคยสร้างความสะท้านใจและเร้าอารมณ์ในการขับเคลื่อนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
LaFerrari ถือเป็นซูเปอร์คาร์คันแรงรุ่นแรกนับจากที่เอ็นโซ่เคยเปิดตัวเมื่อปี 2002 และถือเป็นผลผลิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อสานต่อประเพณีในการผลิตตัวแรงแบบ สุดๆ ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่องนับจากรุ่น 288 GTO ที่ผลิตในช่วงปี 1984-1985 ตามด้วย F40 (1987-1992) F50 (1995-1997) และเอ็นโซ่ (2002-2004)
การเปิดตัวของ LaFerrari มีขึ้นในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2013 เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และรู้จักกันในอีกชื่อว่า F70 หรือ F150 เมื่อพูดถึงชื่อโครงการพัฒนา โดยไฮไลต์เด่นของสปอร์ตรุ่นนี้คือ การนำเทคโนโลยีจากสนามแข่ง F1 อย่างระบบ KERS มาประยุกต์ใช้กับรถสปอร์ตที่แล่นบนถนน เช่นเดียวกับการนำข้อมูลจากโปรเจกต์การแข่งขันของตัวแรง FXX มาใช้ในการพัฒนาร่วม
สปอร์ตรุ่นนี้เป็นแบบเครื่องยนต์วางกลางและขับเคลื่อนล้อ หลัง ตัวรถมีความยาว 4,702 มิลลิเมตร กว้าง 1,992 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,665 มิลลเมตร สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบโดย Flavio Manzoni นักออกแบบชาวอิตาเลียนที่เคยฝากผลงานมามากมาย โดยที่มีต้นแบบรุ่นแลนเซีย ฟุลเวียเป็นผลงานชิ้นที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก
ในแง่ของการเป็นครั้งแรกนั้น ต้องยอมรับว่า LaFerrari คือรถสปอร์ตไฮบริดรุ่นแรกของเฟอร์รารี่ ซึ่งมีการนำมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยในการขับเคลื่อน เช่นเดียวกับการช่วยลดความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 40% เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์วี12 แบบเดียวกัน
ขุมพลังหลักเป็นเครื่องยนต์เบนซินวี12 ทวินแคม 48 วาล์ว 6,300 ซีซี ที่มีกำลังขับเคลื่อนถึง 789 แรงม้า ที่ 9,000 รอบ/นาที ซึ่งอีกแค่ 250 รอบ/นาทีก็จะเข้าสู่แถบ Redline ของเครื่องยนต์แล้ว ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 160 แรงม้า ทำหน้าที่ในการช่วยขับเคลื่อนและชาร์จกระแสไฟฟ้า หรือเรียกว่าระบบ HY-KERS (Kinetic Energy Recovery System) ซึ่งในระบบนี้มอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาช่วยเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนในช่วง สั้นๆ ทำให้ตัวรถมีกำลังโดยรวมอยู่ในระดับ 950 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 91.7 กก.-ม.
สำหรับชุดไฮบริดที่เพิ่มขึ้นมาจะประกอบไปด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ซึ่งอย่างหลังมีน้ำหนักราวๆ 62 กิโลกรัม และติดตั้งอยู่ที่กลางตัวรถเพื่อไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออัตราส่วนการกระจาย น้ำหนักซึ่งอยู่ในระดับด้านหน้า 41% และด้านหลัง 59% และจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถ และในแง่ของภาพรวมทั้งระบบไฮบริดจะมีน้ำหนักรวม 140 กิโลกรัม ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,255 กิโลกรัม
ในแง่ของสมรรถนะ LaFerrari ใช้เวลาต่ำกว่า 3 วินาทีในการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ 15 วินาทีสำหรับย่านความเร็ว 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งก็ยังช้ากว่าลัมบอร์กินี เวเนโน่ที่เปิดตัวในงานนี้ด้วยเช่นกันอยู่เล็กน้อย และหยุดด้วยดิสก์คาร์บอนเซรามิกไซส์ 398 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง
ใครที่สนใจก็เตรียมเงินเอา ไว้เยอะๆ หน่อย เพราะค่าตัวไม่ธรรมดาแน่นอน โดยทางเฟอร์รารี่ตั้งเอาไว้ที่ 1.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 50.7 ล้านบาท และควรรีบตัดสินใจเสียด้วย เพราะว่ากันว่าผลิตออกมาแค่ 499 คันเท่านั้นเอง