หลังจากมีภาพสปายช๊อต ข่าวลือ และอื่น ๆ อีกมากมายเกี่ยวกับรถยนต์แฮชท์แบ็กรุ่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์โปรตอน รถยนต์สัญชาติมาเลเซีย ในที่สุด โปรตอนก็เปิดตัว ซูพริม่า เอส รถยนต์แฮชท์แบ็กรุ่นใหม่ล่าสุดในประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ ด้วยรูปลักษณ์ที่แทบจะไม่แตกต่างจากการเอาเพรเว่ มาใส่ด้านท้ายแบบแฮชท์แบ็กแม้แต่น้อย

เครื่องยนต์ CamPro อันลือชื่อขนาด 1.6 ลิตรที่มาพร้อมเทอร์โบชาร์จ ถูกนำมาติดตั้งในรถรุ่นนี้อีกครั้ง โดยให้กำลังสูงสุดที่ 138 แรงม้าที่ 5,000 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่ 2,000-4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที 7 สปีดลงสู้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และช่วงล่างที่ได้รับการพัฒนาโดยโลตัส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของโปรตอน

สมรรถนะของซูพริม่าสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลา 9.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และให้ความประหยัดมาก โดยโปรตอนนิยามว่ารถคันนี้ให้พละกำลังเหมือนรถยนต์เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ขณะที่จิบน้ำมันเทียบเท่ากับรถยนต์ 1.6 ลิตร นั่นก็หมายความว่าอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยของรถคันนี้จะอยู่ที่ 9.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือน้ำมันเต็มถัง 50 ลิตร จะพารถคันนี้วิ่งไปได้ไกลถึง 545 กิโลเมตร

แม้จะได้ชื่อใหม่หมดจดมา แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า ซูพริม่า เอานั้น มีรูปร่างหน้าตาไม่ได้แตกต่างจากโปรตอน เพรเว่มากนัก เพียงแต่มีการติดตั้งพื้นที่ด้านหลังแบบแฮชท์แบ็กเข้าไป ขณะที่พื้นที่ด้านในห้องโดยสารนั้น มีการติดตั้งอุปกรณ์ที่มีพื้นผิวสัมผัสที่นุ่มมือ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากห้องโดยสารของโปรตอนรุ่นเก่า ๆ ที่ผ่านมา ที่เน้นการออกแบบที่สะอาดและไม่เน้นความอู้ฟู่มากนัก

มีการติดตั้งอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยอย่างมากมายเข้าไปในรถคันนี้ เริ่มตั้งแต่ระบบกระจกไฟฟ้าแบบป้องกันการหนีบ ถุงลมนิรภัย 6 จุด ระบบป้องกันล้อล็อก พร้อมระบบควบคุมล้อหมุนฟรี ซึ่งที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ผู้บริหารของโปรตอนประกาศว่ารถยนต์รุ่นนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานความ ปลอดภัยระดับ 5 ดาวจาก Australasian New Car Assessment Program (ANCAP) ซึ่งแม้จะยังมีข้อสังเกตในเรื่องการได้มาของการรับรองดังกล่าว แต่ก็มีการยืนยันเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยนี้ออกมาจริง ๆ

ซูพริม่า เอส มีให้เลือก 5 สี ประกอบไปด้วย แดง ดำ ขาว เงินและน้ำเงิน โดยผู้ซื้อในมาเลเซียจะได้รับโปรแกรมการให้บริการตลอด 5 ปีหรือ 1.5 แสนกิโลเมตร และโปรแกรมช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรีอีก 5 ปี

สำหรับประเทศไทยน่าจะต้องรออีกสักระยะ แต่คาดว่าน่าจะมาให้เห็นกันอย่างแน่นอน!!!