หน้าแรก » รีวิวรถ/Review -TestDrive » CHEVROLET » 2013 Chevrolet Cruze ขับทดสอบเบนซิน E85... |
13-พฤษภาคม | 4373 |
|
สำหรับทริปการเดินทางในครั้งนี้ ที่เปี่ยมไปด้วยสาระความรู้ ต้องขอขอบคุณ เชฟโรเลต เซลล์ ประเทศไทย ที่ได้จัดทริปนำพามาเรามาเยี่ยมชมไกลถึงโรงกลั่นเอทานอล มิตรผล ในคราวนี้ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี รวมระยะทางไปกลับ ทั้งสิ้น ราว 400 กม. ซึ่งถือเป็นโชคดีที่ทาง Autospinn เราได้มีโอกาสขับทั้งรุ่น 2.0 ดีเซล และ 1.8 เบนซิน -รูปลักษณ์ภายนอก มีการปรับโฉมเล็ก ได้แก่ ด้านหน้าเปลี่ยนกันชนใหม่ กรอบไฟตัดหมอกทรงเปลี่ยนดูโฉบเฉี่ยวขึ้น กรอบไฟหน้ามุมโครเมียมออกแบบใหม่ ส่วนกระจังหน้าก็เป็นแบบใหม่ทำให้โลโก้ Chevy ดูเด่นขึ้น ด้านหลังกันชนก็เปลี่ยนใหม่ บริเวณด้านล่างเพิ่ม look สปอร์ตนิดนึง? จากเส้นสายด้านล่าง ล้ออัลลอยแบบห้าก้านใหม่ดูสวยงามกว่าเดิม นอกนั้นในส่วนอื่นๆ จะเหมือนกันเกือบหมดทั้งรุ่น เบนซิน และดีเซล ซึ่งน่าเสียดายที่ เชฟโรเลต น่าจะมี แปะ เพลท บริเวณด้านท้ายเพิ่มเติมนอกจาก LTZ เพื่อบ่งบอกความพิเศษให้แก่ลูกค้าที่ควักตังจ่าย ในตัวดีเซล ซึ่งมีราคาสูงถึง 1.2 ล้าน เพิ่มเสียหน่อย แม้แต่ล้อแม็กยังลายเดียวกันเลย แตกต่างกันเพียงแค่สเป็กยาง ที่ในตัวเดีเซล หน้ากว้างจะเพิ่มขึ้นเป็น 225/50/17 ซึ่งในรุ่น 1.8 ยางจะเป็น 215/50/17 เพียงเท่านั้น -ในส่วนห้องโดยสารภายใน โทนสีมีการปรับเปลี่ยนออกเป็นโทนน้ำตาล (Brown Stone) มีการปรับปรุงวัสดุ อีกทั้งเพิ่มเติมรายละเอียดและพื้นผิวสัมผัสที่คอนโซลกลาง ปุ่ม Push Start เปลี่ยนเป็นทรงกลม นอกนั้น ดูเผินๆ ยังไม่แตกต่างอย่างมีนัยจากตัวก่อนมากนัก -เครื่องยนต์เบนซิน 1,796cc บล๊อก ECOTEC เป็นแบบ DOHC 4สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน Double CVC บล๊อกเดิม แต่นำมาปรับปรุงให้กลายเป็น FFV เพื่อรองรับน้ำมัน E85 โดยได้ Map ECU ใหม่ รวมถึงการติดตั้งเซ็นเซอร์หลายจุด หัวฉีดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและระบบจ่ายเชื้อเพลิงที่มีการไหลเวียนสูงกว่าเดิม นอกจากนั้นมีการปรับปรุงวาล์วและบ่าวาล์ว พร้อมใช้วัสดุยางและสายเชื้อเพลิงที่ทนการกัดกร่อนมากขึ้น -ระบบส่งกำลังถือเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่เปลี่ยนแปลงแบบสัมผัสได้ Cruze ใหม่นี้มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 Speed Gen II ที่ปรับปรุงล่าสุด พร้อมระบบ Driver Shift Control ที่ให้ความแม่นยำยิ่งขึ้นและมอบความนุ่มนวลมากกว่าเดิมในการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งทำให้รถขับขี่สบายยิ่งขึ้น -ระบบบังคับเลี้ยว เป็นจุดที่แตกต่างกัน ระหว่าง รุ่น 1.8 และ 2.0 เนื่องจาก 1.8 เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด และคนใช้งานแบบทั่วๆไป สบายคล่องตัว พวงมาลัยจึงเป็นแบบผ่อนแรงไฟฟ้า แต่สำหรับตัว 2.0 ที่ต้องการฟีลลิ่งขับขี่ได้อย่างแม่นยำ และมีน้ำหนักที่เหมาะสมกับการขับที่เน้นสมรรถนะการควบคุมที่มากกว่า จึงใช้เป็นเพาเวอร์ผ่อนแรง - ระบบกันสะเทือน และระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ เหมือนเดิม ไม่มีผิดเพี้ยน ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแม็กเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีม ที่เซ็ตออกมาได้ลงตัวที่สุด เลยก็ว่าได้ในรถพิกัดเดียวกันนี้ ให้ทั้งความนุ่มนวลเกินกว่าจะเป็นคานแข็ง และความเกาะถนน ถือว่าทำได้ดีเกินที่ควรจะเป็น บรรยายด้านสมรรถนะการขับขี่ - ขาไปผมขับตัว 2.0 ดีเซลก่อน ซึ่งเป็นคันสีขาวหมายเลข 9 เครื่องยนต์บล๊อกนี้เป็นดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ 4 สูบ VCDi ความจุ 2.0 ลิตร 16 วาล์ว ผ่าน Euro 4 ติดตั้งเพลาถ่วงสมดุลเพื่อลดเสียงรบกวน แรงสั่นสะเทือนและความสะท้าน (NVH) ผลิตพละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร กำลังเครื่องยนต์ แรงบิดมีมาให้สัมผัสตั้งแต่รอบต่ำ ประมาณ 2000rpm นิดๆ ก็สัมผัสได้ถึงกำลังที่มีมาให้ใช้ แต่ด้วยการเซ็ตเกียร์ มาใหม่ จึงทำให้ การตอบสนองเมื่อเวลา Kick Down ลงจะช้ากว่าเดิม เพื่อไม่ให้มีอาการกระตุก จึงรู้สึกว่าการตอบสนองช้าไป จึงโยกคันเกียร์จากตำแหน่ง D มาที่ M เพื่อลากรอบเอา ซึ่งไม่มีการตัดขึ้นเกียร์ และ กดคันเร่งได้ติดเท้ากว่าเดิม แต่โดยรวมกำลังเครื่องจะขึ้นแบบนิ่งเรียบออกแนวผู้ดี ไม่กระโชกโฮกฮาก ความรู้สึกจึงหลอกเราว่า มันไม่แรงสักเท่าไรหลอก เวลาเร่งแซงจะพ้นหวาดเสียว หรือไม่นะ ปรากฏว่าจากการใข้งานจริง ทำได้ดีหายห่วง ในช่วงขาไป ที่ผมได้ขับซึ่งขับต่อท้ายคัน 1.8 จังหวะที่เร่งแซงรถใหญ่ สามารถดูดท้ายรถ 1.8 ได้แบบติดตูดกันทีเดียว แบบไปไหนไปด้วย แซงได้พ้นหายห่วง ซึ่งผมดูจะประเมินประสิทธิภาพกำลังเครื่องยนต์ ดีเซลที่นิ่งเงียบคันนี้ ต่ำเกินไป จริงๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่า เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ที่ทำได้ดีเกินคาด ในเรื่องของความ Smooth ของเครื่องยนต์ยันไปที่ระบบส่งกำลัง รวมถึงเสียงเครื่องที่เข้ามาในห้องโดยสาร ถือว่าทำได้ดีมาก และกำลังแรงบิดไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมีมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำ เร่งแซงได้แบบไม่เหนื่อยแต่อย่างใด รอบเครื่องยนต์ ที่ได้ลองวัด 80 กม./ชม. = 1700rpm 90 กม./ชม. =1800rpm 100 กม./ชม. =1900rpm และสำหรับเกียร์ 6AT ลูกเดิมนี้ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนการเซ็ตเกียร์ใหม่ทำออกมาได้ผู้ใหญ่ขึ้น นุ่มนวลลื่นไหล แต่การตอบสนองก็จะดูช้าลงไปเสียหน่อย เพื่อแลกกับความนุ่มนวลในการขับขี่ ซึ่งถ้าต้องการขับขี่แบบสนองดีขึ้นคงต้องมาเล่น +/- กันเอาเองในโหมด M ในส่วนพวงมาลัยเพาเวอร์ไฮโดรลิก ทั้งหนักและหนืด เมื่อขับขี่ที่ความเร็วต่ำ รวมถึงการสาวจอด ถือว่าหนักพอตัว และเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูงดูจะเริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้นหน่อย แต่ระยะฟรีนั้นมีมากพอควร ซึ่งก็ต้องใช้ความระมัดระวังนิดในการประคองที่ความเร็วสูง หากเจอหลุมบ่อ หรือทางขรุขระพวงมาลัยอาจมีดิ้นได้ ช่วงล่างนั้นออกแนวนุ่มนวล ซึ่งถือว่าทำได้ดีมาก สำหรับช่วงล่างแบบทอร์ชั่นบีม เซ็ตมาได้ค่อนข้างดี นุ่มและหนึบ ขับทางตรงที่ความเร็วสูงระดับ 150 กม./ชม. ยังรู้สึกนิ่ง แต่เมื่อโยนโค้ง ที่ความเร็วสูงเกินปกติกว่าคนทั่วไป จะรู้สึกว่า ช่วงล่างหลัง จะส่ายออกไปนิดนึง แต่ไม่ถึงกับมาก โดยรวม เป็นรถช่วงล่างทอร์ชั่นบีม ที่เซ็ตออกมาได้ดีสุดคันหนึ่งเลย - ขากลับกับเจ้า 1.8 FFV คันสีเทา หมายเลข 2 เครื่องยนต์ ECOTEC 1,796cc ให้พละกำลังสูงสุด 141 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตรที่ 3,800 รอบ/นาที ต้องขอบอกเลยว่าการที่ขับตัวดีเซลก่อนนั้นทำให้ผมหงุดงหงิดเล็กร้อย เพราะเครื่องยนต์ดีเซล มีกำลังเครื่องมากกว่าอย่างรู้สึกได้ ตั้งแต่รอบต่ำ ซึ่งสำหรับเครื่องยนต์เบนซินนี้นั้น ต้องลากรอบใช้กำลังเครื่องในรอบสูง ถึงจะรีดกำลังแรงม้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เราพบว่า เสียงเครื่องรอบสูงนั้น ได้เข้ามาในห้องโดยสารดังมาก และถ้าให้เปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซล กลับพบว่า เครื่องยนต์ดีเซลตอบสนองได้อย่างนุ่มนวลเสียกว่า การเร่งแซง ถือว่าทำได้ดี ตามมาตรฐานทั่วไป ของรถในพิกัด 1.8 ที่ไม่ได้ดูขี้เหล่ แต่อย่างใด เมื่อลากรอบ ไปถึงราว 4000rpm รอบเริ่มไต่ขึ้นช้าลง ในโหมด D ลากได้จนถึง 6300rpm ก่อนจะตัดขึ้นเกียร์ใหม่ ซึ่งอย่างที่ได้กล่าวไป การเซ็ตเกียร์มาใหม่เป็น ‘Gen II’ ทำให้การตอบสนองช้าลงเล็กน้อย ถ้าขับในโหมด D อยากได้การตอบสนองที่ดีขึ้นก็คงต้องโยกมาเล่น M เช่นเดิม รอบเครื่องยนต์ ได้ลองวัดที่ 3 ค่าได้ดังนี้ 100 กม./ชม. = 2200rpm 110 กม./ชม. = 2400 rpm 120 กม./ชม. =2600 rpm พวงมาลัยในตัว 1.8 นี้เป็นแบบ EPS ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า เมื่อได้เข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยก็รู้สึกได้ทันทีว่าเบาลง นี่ล่ะ เหมาะกับการขับขี่สบายๆ ใช้งานทั่วๆไป มากกว่า แต่เมื่อขับๆไป ผมกลับชอบฟีลเพาเวอร์ไฮโดรลิกมากกว่า เพราะนอกจากน้ำหนักจะเบาลงแล้ว ความหนืดนั้นก็ลดลงด้วย แต่ที่ดีขึ้น คือ เมื่อความเร็วสูง ถึงแม้น้ำหนักจะดูเบาไปนิด แต่ระยะฟรีลดลง ซึ่งทำให้อาการดิ้นของพวงมาลัย หรือ โคลงเคลง sensitive ลดลง สรุป New Chevrolet Cruze 2013 โฉมใหม่แบบปรับเล็กนี้ เน้นจุดขายหลักในตัวเครื่องยนต์ 1.8 ที่ปรับให้รองรับเชื้อเพลิง E85 กลายเป็น FFV ซึ่งออกมาชนกับ คู่แข่งในพิกัดเดียวกัน ทั้ง Lancer EX, Honda Civic, Toyota Altis คราวนี้ก็เหลือแต่ว่า กลุ่มลูกค้าจะชอบในแบรนด์ไหน สไตล์รถแบบใด รถญี่ปุ่น หรือ อเมริกัน สไตล์ของรถถูกปรับปรุงให้ขับขี่แบบผู้ใหญ่ขึ้นเน้นนุ่มนวลขับขี่ได้อย่างสบาย ซึ่งต้องยอมรับว่าระหว่างที่ผมนั่งอยู่ทางตอนหลังก็ถือว่านั่งได้ดีสบาย พอตัวทั้งพื้นที่ในตอนหลังและความนุ่ม ที่เหลืออีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกซื้อ อาจเป็นในส่วนของราคา ก็คงต้องดูกันตามความชอบและการยอมรับความคุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสียไปของแต่ละท่าน |
เรื่องอื่นๆ ในหมวด |
New Audi A7 Sportback 2018 ใหม่
|
Mercedes-Benz SLC In March 2016, 20 years on from the birth of its segment.. |
Mercedes-Benz SLC43 AMG There need be no contradiction between high driving dynamics and low fuel consumption... |
Mercedes-Benz S600 Pullman Maybach Guard The absolute flagship model from Mercedes-Maybach with face-to-face.. |
TRA สถาบันสอนขับรถแข่ง ที่กล้ายืนยัน ว่าดีที่สุดในเมืองไทย TRA สถาบันสอนขับรถแข่ง ที่กล้ายืนยัน ว่าดีที่สุดในเมืองไทย.. |
ทั้งหมด -»» |
|
แสดงผลได้กับ IE9+/Firefox/Chrome 1440*900 resolutions. ©2013 carshowsociety.com Web Creative Design by Qisza.com |
789/4 ซ.ลาดพร้าว 48 แยก 8 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320 มือถือ : 08-4659-4999 |